IG Story แบบไหนคนกดแชร์เยอะ? (เทคนิคจากวงใน + ไอเดียงานพิมพ์ขนาดใหญ่)
- Pok Ratanawong
- 9 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที

Instagram Story กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่ แม่ค้าออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ทุกคนต่างมองหา "สูตรลับ" ในการทำ Story ที่ทำให้คนดูไม่แค่ดู... แต่กดแชร์ออกไปด้วย
ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกว่า IG Story แบบไหนที่มีแนวโน้มจะถูกแชร์มากที่สุด พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับการออกแบบ งานพิมพ์ขนาดใหญ่ เช่น แบ็กดรอป สแตนดี้ หรือป้ายตั้งโชว์ ที่สามารถใช้ภาพจาก Story มาขยายเป็นสื่อออฟไลน์ได้อีกด้วย
แถมท้ายด้วยไอเดียและ backlink ไปยังหน้าสินค้าสแตนดี้ที่สามารถต่อยอดคอนเทนต์ออนไลน์ได้จริง ดูตัวอย่าง
ทำไม IG Story ถึงสำคัญ?
Instagram Story มีอายุเพียง 24 ชั่วโมง แต่ผลลัพธ์ของมันอาจอยู่ในใจลูกค้าได้นานกว่านั้น หากเนื้อหาน่าสนใจพอ ผู้คนจะไม่ลังเลที่จะแชร์ลงสตอรี่ตัวเอง หรือส่งต่อให้เพื่อนผ่าน DM
ข้อดีของ IG Story:
เข้าถึงเร็ว ไม่ต้องเลื่อน feed
สื่อสารแบบกระชับได้ใจความ
มีลูกเล่น (poll, emoji slider, Q&A)
เหมาะกับการทดลอง content แบบไวๆ
5 รูปแบบ IG Story ที่คนกดแชร์เยอะ
1. Story แบบ Template ให้คนแคปไปใช้ต่อ
Story ที่มาในรูปแบบ template พร้อมคำถาม เช่น "ของโปรดของคุณ 5 อย่างคือ?" หรือ "ถ่ายรูปกับสแตนดี้น่ารักที่คุณชอบที่สุด แล้วแท็กเรา!" เป็นที่นิยมมาก เพราะคนสามารถแชร์แล้วใส่ของตัวเองได้ทันที
Tip: ใช้ฟอนต์ใหญ่ อ่านง่าย และมีพื้นที่ว่างให้เติมคำหรือรูปภาพ
ต่อยอด: พิมพ์ template เหล่านี้เป็นโปสเตอร์แจกหน้าร้าน หรือติดบนสแตนดี้ก็ได้ ดูสินค้า
2. Story แบบ Before / After
เปรียบเทียบก่อน-หลัง เป็นหนึ่งในรูปแบบที่กระตุ้นอารมณ์คนดูได้ดี เช่น การแต่งหน้า แต่งห้อง หรือแม้แต่เปลี่ยนภาพหน้าร้านหลังติดแบ็กดรอปใหญ่ ๆ ก็ได้
Tip: แบ่งจอเป็น 2 ส่วนให้เทียบชัดเจน และใช้สติกเกอร์ชี้จุดเปลี่ยน
ต่อยอด: ถ่ายภาพ Before/After ของแบรนด์ตัวเองกับงานพิมพ์ขนาดใหญ่ เช่น ป้ายเมนู, ฉากแบ็กดรอป แล้วเอาไปโปรโมตใน Story ได้
3. Story สไตล์ Quiz หรือโหวต
การใช้ฟีเจอร์ Poll, Quiz หรือ Emoji Slider ช่วยให้คนอยากมีส่วนร่วม เช่น “คุณคิดว่าแบรนด์เราน่าจะออกสินค้าอะไรต่อไปดี?” หรือ “สแตนดี้ตัวไหนเหมาะกับงานเปิดร้านที่สุด?”
Tip: ใช้คำถามที่กระตุ้นอารมณ์ หรือเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น ความรัก อาหาร หรือความสวยงาม
ต่อยอด: พิมพ์ผลโหวตหรือกราฟลงบนแผ่นโฟมบอร์ด หรือโปสเตอร์สำหรับงานแสดงสินค้า
4. Story แบบ "แชร์แล้วได้ของฟรี"
นี่คือคลาสสิกของคลาสสิก แบรนด์มักจะให้ของขวัญเล็ก ๆ เมื่อผู้ติดตามแชร์ Story ไปยังหน้า Story ตัวเองแล้วแท็กกลับ เช่น "แชร์ภาพนี้ + แท็กเรา รับส่วนลด 10% ทันที!"
Tip: ทำกราฟิกให้ดูน่ารักและมีความรู้สึกเร่งด่วน (Urgency) เช่น "วันนี้เท่านั้น!"
ต่อยอด: ใช้ภาพงานพิมพ์จริง เช่น ป้ายตั้งโชว์หน้าร้าน มาทำเป็นรูปให้แชร์กลับทางออนไลน์ได้อีกต่อ
5. Story ที่กระตุ้นอารมณ์ร่วม เช่น ความภูมิใจ / ตลก / อินเทรนด์
เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์คนดู เช่น Story ที่ว่า “ถ้าคุณมีสแตนดี้เป็นของตัวเอง จะออกแบบยังไง?” หรือ “แชร์ร้านที่คุณไปแล้วรู้สึกอบอุ่นที่สุด” มักมี engagement สูงมาก
Tip: ใช้ภาพประกอบน่ารัก ๆ หรือภาพคนจริง ๆ พร้อมสแตนดี้ในฉาก เพื่อเพิ่มความน่าแชร์
เทคนิคเพิ่มเติม: ทำ Story อย่างไรให้คนอยากแชร์?
อย่ายาวเกิน 5 slide (คนเริ่มกดผ่าน)
มีจุด hook ภายใน 1 วิแรก เช่น gif เคลื่อนไหว ฟอนต์ใหญ่
ใช้พื้นหลังเรียบ + คอนทราสต์สูงเพื่อให้อ่านง่าย
ใช้ emoji อย่างชาญฉลาด เช่น ❤️🔥😂 เพื่อสื่ออารมณ์เร็ว
ใส่ Call-to-action เช่น “แตะเพื่อดู” หรือ “กดแชร์”
จาก Story สู่ของจริง: ขยายเป็นงานพิมพ์ขนาดใหญ่ได้ยังไง?
หนึ่งในเทคนิคที่หลายแบรนด์ใหญ่ใช้ คือการเอาคอนเทนต์ที่เคยปังใน IG Story ไปทำซ้ำในโลกออฟไลน์ เช่น:
Story Template → โปสเตอร์ร้าน
Poll โหวต → ป้ายผลโหวตในบูธ
Before/After → แบนเนอร์
สแตนดี้คน → มุมถ่ายรูปหน้าร้าน
สิ่งพิมพ์เหล่านี้เรียกร้องความสนใจได้ทันที และช่วยให้แบรนด์ดูจริงจังและน่าเชื่อถือขึ้น
สรุป
ไม่ว่าคุณจะขายของบน IG หรือทำแบรนด์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การใช้ IG Story ให้คนแชร์ได้เยอะนั้น ไม่ใช่แค่ใส่ภาพสวยหรือฟิลเตอร์เจ๋ง แต่ต้องมี "เนื้อหาที่แชร์ต่อได้" และสามารถนำไปต่อยอดได้อีกระดับ เช่น การพิมพ์ออกมาใช้งานจริง
โลกออนไลน์คือแรงจุดติด แต่โลกออฟไลน์คือจุดที่ขายของจริงเกิดขึ้น
และถ้าคุณอยากเริ่มแปลง IG Story ให้เป็นงานพิมพ์ขนาดใหญ่ ลองดูตัวอย่าง สแตนดี้คนที่ออกแบบน่ารัก ๆ แล้วคุณจะเห็นว่าทุก story เล่าเรื่องแบรนด์ได้มากกว่าที่คุณคิด 🎯










































ความคิดเห็น